ไม่จริง! เพิ่ม ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ คนละ 100 บาท รายงานตัวรับที่เขต

ไม่จริง! เพิ่ม ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ คนละ 100 บาท รายงานตัวรับที่เขต

จากการที่มีการรายงานของข่าวที่ว่า จะมีการเพิ่ม เบี้ยผู้สูงอายุ รายละ 100 บาท โดยให้ไปรายงานตัวรับที่เขต ซึ่งข่าวนี้นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด (23 มิ.ย. 2565) ตามที่มีข้อความแจ้งในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับประเด็นเรื่องเพิ่ม เบี้ยผู้สูงอายุ คนละ 100 บาท ให้ทุกคนไปรายงานตัวที่เขต ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีข้อความที่ระบุว่ามีการปรับเบี้ยผู้สูงอายุ 

เพิ่มขึ้นคนละ 100 บาท โดยให้ผู้มีสิทธิ์ทุกคนไปรายงานตัวที่เขตด่วนนั้น ทางกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ชี้แจงว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากยังคงจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเท่าเดิม ตามแนวทางปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และในปัจจุบันจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันไดตามช่วงอายุ คือ

– อายุ 60 – 69 ปี ได้รับเบี้ยยังชีพเดือนละ 600 บาท

– อายุ 70 – 79 ปี ได้รับเบี้ยยังชีพเดือนละ 700 บาท

– อายุ 80 – 89 ปี ได้รับเบี้ยยังชีพเดือนละ 800 บาท

– และอายุ 90 ปี ขึ้นไป ได้รับเบี้ยยังชีพเดือนละ 1,000 บาท

แต่สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับการจ่ายเงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุ ที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ประจำปีงบประมาณ 2565 ดังนี้

1. ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับเงินสงเคราะห์ฯ 100 บาทต่อเดือน

2. ผู้สูงอายุที่มีรายได้มากกว่า 30,000 – 100,000 บาทต่อปี ได้รับเงินสงเคราะห์ฯ 50 บาท ต่อเดือน

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารกรมกิจการผู้สูงอายุ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://www.dop.go.th/ และโทร 02-6424336 – 9

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ยังคงจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันไดช่วงอายุตามเดิม แต่สำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามเงื่อนไขที่ระบุไว้

ปิดตำนาน “ร้านน้ำโหลแก้ว” โรงเรียนดัง ขายกี่แก้วคืนกำไร เผยค่าเช่าขั้นต่ำ 3 ล้าน แบบนี้คุ้มไหม

ร้านน้ำโหลแก้ว โรงเรียนดัง ขายวันสุดท้าย 28 มิ.ย. นี้ ปิดตำนานกว่า 30 ปี ทนพิษรายจ่ายไม่ไหว หลังเผยค่าต่อสัญญาขั้นต่ำ 3 ปี 3 ล้าน ลงทุนแบบนี้คุ้มไหม ต้องขายกี่แก้วถึงคืนกำไร เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มิ.ย. 65 อัปเดตจากเฟสบุ๊กแฟนเพจ Tea Lek ร้านน้ำโหลแก้วในตำนาน ที่ขายในโรงเรียนดังย่านบางเขน เขตจตุจักร ประกาศปิดยุติกิจการร้านขายน้ำโหลแก้ว โดยขายวันสุดท้ายถึงวันที่ 28 มิ.ย. นี้ พร้อมกับจัดโปรโมชั่นแจกฟรี หลังเปิดบริการมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี  เนื่องมาจากไม่สามารถจ่ายค่าต่อสัญญาขั้นต่ำที่โรงเรียนตั้งไว้ 3 ปี 3 ล้านบาทได้

จากกรณีดังกล่าวทำให้หลายคนสงสัยว่าการปิดตำนานร้านน้ำโหลแก้วที่ขายในราคาเพียงหลักสิบ แต่ต้องต่อสู้กับค่าเช่าเฉลี่ยแล้วตกปีละ 1 ล้านบาท แบบนี้คุ้มทุนไหม และต้องขายน้ำกี่แก้วจึงจะคืนกำไร ลองมาเช็กรายละเอียดการขายน้ำโหลแก้วในโรงเรียนว่าจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

สำหรับราคาของร้านน้ำโหลแก้วในโรงเรียนส่วนใหญ่จะมีราคาจำหน่ายที่ แก้วละ 10 บาท น้ำเปล่าขวดละ 10 บาท โดยมีระยะเวลาการเปิดขายเพียง 3 ช่วงเท่านั้น ได้แก่ ช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน ช่วงพักกลางวัน และช่วงเย็นหลังเลิกเรียน แถมเมื่อถึงช่วงเวลาปิดเทอมก็ไม่ได้ขายต่ออีกหลายเดือน

เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะเอากำไรที่ไหนมาจ่ายค่าเช่า? ซึ่งราคาสัญญาขนาดนี้แถมยังขายในสถานศีกษา อาจต้องปรับราคาจำหน่ายน้ำดื่มให้เท่ากับร้านค้าเอกชนเลยก็เป็นได้ เรียกว่าน่าเสียดายสำหรับการปิดตำนานร้านขายน้ำโหลแก้วโรงเรียนดังอย่าง Tea Lek ที่ต้องยุติกิจการในตอนนี้

ทีมงาน Thaiger เลยจะมาวิเคราะห์รายละเอียดค่าใช้จ่ายของร้าน Tea Lek ร้านน้ำโหลแก้วในตำนาน ว่าต้องมีต้นทุนเท่าไหร่ และขายได้กี่แก้วจึงจะคืนกำไรมาจ่ายค่าเช่าสถานที่โรงเรียนดังแห่งนี้ได้ ถ้าพร้อมแล้วก็เข้ามาอ่านในนี้กันได้เลยครับ

วิเคราะห์ตำนานร้านน้ำโหลแก้ว ค่าเช่าปีละ 1 ล้าน ขายกี่แก้วคืนกำไรกี่บาท

กรณีราคาเครื่องดื่มร้านน้ำโหลแก้วในโรงเรียนดังที่เป็นประเด็นในตอนนี้ สมมติให้ตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่แก้วละ 10 บาท หากจะขายให้คืนทุนค่าเช่า 1 ล้านบาทต่อปี

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป